maxlui2810@gmail.com
คณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญปักธงกรอบการเมือง 13 ข้อ เอาไว้แล้ว
ใน 13 ข้อที่เป็นกรอบการเมืองในการร่างรัฐธรรมนูญมีเรื่องน่าสนใจหลายประการ
โดยเฉพาะเรื่องที่มาของฝ่ายบริหารและฝ่ายนิติบัญญัติ
นายกรัฐมนตรีมาจากสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเลือก
นายกรัฐมนตรีไม่เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรก็ได้
สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรมาจากการเลือกตั้ง โดยแบ่งเป็น 2 แบบ
แบบหนึ่ง เลือกตั้งจากประชาชนในเขตเลือกตั้ง แบบนี้มีประมาณ 250 คน
อีกแบบเป็นแบบสัดส่วน คือ ให้ประชาชนเลือกแล้วมาคำนวณเป็นเปอร์เซ็นต์
ผลจากการคำนวณจะกลายเป็นจำนวน ส.ส.ของแต่ละพรรค
ระหว่างการเลือกตั้งกำหนดให้ปลัดกระทรวงทำหน้าที่แทนนายกรัฐมนตรี
และรัฐมนตรีกระทรวงต่างๆ
คือให้ปลัดกระทรวงเลือกปลัดคนหนึ่งรักษาการนายกรัฐมนตรี ส่วนตัวปลัดกระทรวง
ก็ทำหน้าที่คณะรัฐมนตรีไปพลางๆ
สอดรับกับแนวคิดที่ให้ข้าราชการจัดการเลือกตั้งแทนคณะกรรมการการเลือกตั้ง
หรือ กกต. ซึ่งกำลังถูกวิพากษ์วิจารณ์กันอยู่ขณะนี้
คำถามคือ การโอนอำนาจจัดการการเลือกตั้งให้ข้าราชการนั้น
เหมาะสมและถูกต้องแล้วหรือ?
การโอนอำนาจการจัดการเลือกตั้งจากกระทรวงมหาดไทยไปยัง
คณะกรรมการการเลือกตั้งนั้น เพราะห่วงความเป็นกลาง
แล้วการโอนอำนาจกลับไปให้ข้าราชการจัดการ จะแก้ไขปัญหาความเป็นกลางได้อย่างไร?
แน่ใจไหมว่า การจัดการการเลือกตั้งโดยกระทรวงมหาดไทย
หรือกระทรวงศึกษาธิการ หรือกระทรวงใดๆ จะปลอดการทุจริต
ขณะที่สมาชิกวุฒิสภามาจากการสรรหา
สรรหาจากผู้นำในสังคมไทย 5 กลุ่ม เริ่มตั้งแต่ผู้นำอำนาจ 3 ฝ่ายที่ไม่เป็นฝ่ายการเมืองแล้ว
ผู้นำข้าราชการ ผู้นำวิชาชีพ ผู้นำภาคประชาชน เป็นต้น
อำนาจของสมาชิกวุฒิสภา คือกลั่นกรองบุคคลที่นายกรัฐมนตรีเสนอชื่อให้เป็นรัฐมนตรี
บทบัญญัตินี้เริ่มเป็นปัญหา เพราะคนที่จะบริหารประเทศต้องการเลือก "คน" ไปทำงาน
แต่คนที่นายกฯเลือกไปใช้งาน กลับต้องผ่านการประทับตราจากวุฒิสภาก่อน
เท่ากับว่าสมาชิกวุฒิสภานั่นแหละเป็นคนเลือกรัฐมนตรีเข้าไปทำงานให้นายกรัฐมนตรี
ปัญหาจึงมีว่า ถ้านายกรัฐมนตรีเลือกรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง
เกษตร คมนาคม พาณิชย์ อุตสาหกรรม ฯลฯ แต่วุฒิสภาเซย์โน แล้วจะทำอย่างไร?
นายกรัฐมนตรีเลือกทีมงานเป็นคณะรัฐมนตรีไม่ได้ หรือหาได้ไม่ครบแล้วจะเป็นอย่างไร?
แหม มันชวนเกิดความขัดแย้งนะครับ
แล้วความขัดแย้งถ้าเกิด คงไม่ได้เกิดแค่วุฒิสภากับนายกฯเท่านั้น
เพราะ
สภาผู้แทนราษฎรเป็นคนเลือกนายกฯ เมื่อนายกฯทำงานไม่ได้เพราะวุฒิสภาเบรก
สภาผู้แทนราษฎรเขาจะยอมหรือ?
สภาผู้แทนราษฎรมาจากการเลือกตั้ง แต่การบริหารประเทศให้วุฒิสภา
ซึ่งมาจากการสรรหาควบคุม
หมายความว่าประเทศไทยจะให้เสียงส่วนน้อยคุมเสียงส่วนใหญ่ใช่ไหม?
คำถามเหล่านี้เกิดขึ้นและรอคำตอบ
คำถามเหล่านี้เป็นคำถามสร้างสรรค์ เพราะจะช่วยอุดจุดบอดในการร่างรัฐธรรมนูญ
การที่ นายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ ประธานคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ
ส่งสัญญาณให้กรรมาธิการ อดทนและอย่าตอบโต้นั้น เป็นสิ่งที่น่าชม
แต่การไม่ตอบโต้ ไม่ได้หมายถึงไม่รับฟัง หรือไม่ยอมรับ
คำถามที่มีผู้สงสัย และแสดงความคิดเห็นนั้นหากมีอะไรที่เหมาะกว่าก็น่าปรับ
ปรับดีกว่าไม่ปรับ เพราะเมื่อปรับยังพอมีโอกาสได้ใช้รัฐธรรมนูญ
แต่ถ้าไม่ปรับ...ก็ไม่รู้สินะ
ข่าวลือที่ว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา อาจต้องอยู่เกินกำหนดโรดแมปหนาหูขึ้นทุกวัน
(ที่มา:มติชนรายวัน 30 ธ.ค.2557)
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1419945437
นฤตย์ เสกธีระ : คำถามหนาหู .... คอลัมน์ สถานีคิดเลขที่ 12 ...มติชนออนไลน์ ....คำถามอะไร ? .../sao..เหลือ..noi
คณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญปักธงกรอบการเมือง 13 ข้อ เอาไว้แล้ว
ใน 13 ข้อที่เป็นกรอบการเมืองในการร่างรัฐธรรมนูญมีเรื่องน่าสนใจหลายประการ
โดยเฉพาะเรื่องที่มาของฝ่ายบริหารและฝ่ายนิติบัญญัติ
นายกรัฐมนตรีมาจากสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเลือก
นายกรัฐมนตรีไม่เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรก็ได้
สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรมาจากการเลือกตั้ง โดยแบ่งเป็น 2 แบบ
แบบหนึ่ง เลือกตั้งจากประชาชนในเขตเลือกตั้ง แบบนี้มีประมาณ 250 คน
อีกแบบเป็นแบบสัดส่วน คือ ให้ประชาชนเลือกแล้วมาคำนวณเป็นเปอร์เซ็นต์
ผลจากการคำนวณจะกลายเป็นจำนวน ส.ส.ของแต่ละพรรค
ระหว่างการเลือกตั้งกำหนดให้ปลัดกระทรวงทำหน้าที่แทนนายกรัฐมนตรี
และรัฐมนตรีกระทรวงต่างๆ
คือให้ปลัดกระทรวงเลือกปลัดคนหนึ่งรักษาการนายกรัฐมนตรี ส่วนตัวปลัดกระทรวง
ก็ทำหน้าที่คณะรัฐมนตรีไปพลางๆ
สอดรับกับแนวคิดที่ให้ข้าราชการจัดการเลือกตั้งแทนคณะกรรมการการเลือกตั้ง
หรือ กกต. ซึ่งกำลังถูกวิพากษ์วิจารณ์กันอยู่ขณะนี้
คำถามคือ การโอนอำนาจจัดการการเลือกตั้งให้ข้าราชการนั้น
เหมาะสมและถูกต้องแล้วหรือ?
การโอนอำนาจการจัดการเลือกตั้งจากกระทรวงมหาดไทยไปยัง
คณะกรรมการการเลือกตั้งนั้น เพราะห่วงความเป็นกลาง
แล้วการโอนอำนาจกลับไปให้ข้าราชการจัดการ จะแก้ไขปัญหาความเป็นกลางได้อย่างไร?
แน่ใจไหมว่า การจัดการการเลือกตั้งโดยกระทรวงมหาดไทย
หรือกระทรวงศึกษาธิการ หรือกระทรวงใดๆ จะปลอดการทุจริต
ขณะที่สมาชิกวุฒิสภามาจากการสรรหา
สรรหาจากผู้นำในสังคมไทย 5 กลุ่ม เริ่มตั้งแต่ผู้นำอำนาจ 3 ฝ่ายที่ไม่เป็นฝ่ายการเมืองแล้ว
ผู้นำข้าราชการ ผู้นำวิชาชีพ ผู้นำภาคประชาชน เป็นต้น
อำนาจของสมาชิกวุฒิสภา คือกลั่นกรองบุคคลที่นายกรัฐมนตรีเสนอชื่อให้เป็นรัฐมนตรี
บทบัญญัตินี้เริ่มเป็นปัญหา เพราะคนที่จะบริหารประเทศต้องการเลือก "คน" ไปทำงาน
แต่คนที่นายกฯเลือกไปใช้งาน กลับต้องผ่านการประทับตราจากวุฒิสภาก่อน
เท่ากับว่าสมาชิกวุฒิสภานั่นแหละเป็นคนเลือกรัฐมนตรีเข้าไปทำงานให้นายกรัฐมนตรี
ปัญหาจึงมีว่า ถ้านายกรัฐมนตรีเลือกรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง
เกษตร คมนาคม พาณิชย์ อุตสาหกรรม ฯลฯ แต่วุฒิสภาเซย์โน แล้วจะทำอย่างไร?
นายกรัฐมนตรีเลือกทีมงานเป็นคณะรัฐมนตรีไม่ได้ หรือหาได้ไม่ครบแล้วจะเป็นอย่างไร?
แหม มันชวนเกิดความขัดแย้งนะครับ
แล้วความขัดแย้งถ้าเกิด คงไม่ได้เกิดแค่วุฒิสภากับนายกฯเท่านั้น
เพราะสภาผู้แทนราษฎรเป็นคนเลือกนายกฯ เมื่อนายกฯทำงานไม่ได้เพราะวุฒิสภาเบรก
สภาผู้แทนราษฎรเขาจะยอมหรือ?
สภาผู้แทนราษฎรมาจากการเลือกตั้ง แต่การบริหารประเทศให้วุฒิสภา
ซึ่งมาจากการสรรหาควบคุม
หมายความว่าประเทศไทยจะให้เสียงส่วนน้อยคุมเสียงส่วนใหญ่ใช่ไหม?
คำถามเหล่านี้เกิดขึ้นและรอคำตอบ
คำถามเหล่านี้เป็นคำถามสร้างสรรค์ เพราะจะช่วยอุดจุดบอดในการร่างรัฐธรรมนูญ
การที่ นายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ ประธานคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ
ส่งสัญญาณให้กรรมาธิการ อดทนและอย่าตอบโต้นั้น เป็นสิ่งที่น่าชม
แต่การไม่ตอบโต้ ไม่ได้หมายถึงไม่รับฟัง หรือไม่ยอมรับ
คำถามที่มีผู้สงสัย และแสดงความคิดเห็นนั้นหากมีอะไรที่เหมาะกว่าก็น่าปรับ
ปรับดีกว่าไม่ปรับ เพราะเมื่อปรับยังพอมีโอกาสได้ใช้รัฐธรรมนูญ
แต่ถ้าไม่ปรับ...ก็ไม่รู้สินะ
ข่าวลือที่ว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา อาจต้องอยู่เกินกำหนดโรดแมปหนาหูขึ้นทุกวัน
(ที่มา:มติชนรายวัน 30 ธ.ค.2557)
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1419945437